ทิพย์นาคาพระเครื่อง

ทิพย์นาคาพระเครื่อง
ทิพย์นาคาพระเครื่อง
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระพุทธรูปปางต่าง ๆ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระพุทธรูปปางต่าง ๆ แสดงบทความทั้งหมด

ปางที่ 35 ปางห้ามสมุทร หรือปางห้ามญาติ

ปางห้ามสมุทร หรือปางห้ามญาติ
(เรียกเต็มว่า ปางห้ามญาติแย่งน้ำในสมุทร)
พระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองแบตั้งขึ้นยกเสมอ
พระอุระ (อก) เป็นกิริยาห้าม (บางปางเป็นพระทรงเครื่อง)
ประวัติย่อ
ครั้งหนึ่งเหล่าพระญาติของพระพุทธเจ้า คือ เจ้า
ศากยะและเจ้าโกลิยะ เกิดทะเลาะวิวาทกันเพราะแย่งน􀂲้ำ
ในแม่น้ำโรหิณี ต่างฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์ในน้ำเพื่อที่จะ

ปางที่ 34 ปางโปรดพุทธบิดา

ปางโปรดพุทธบิดา
พระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายประคองบาตร พระหัตถ์ขวา
ยกขึ้นจีบนิ้วพระหัตถ์
ประวัติย่อ
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ครั้งแรกได้เสด็จ
บิณฑบาตในพระนคร พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบจึงรีบ
เสด็จตามไปต่อว่าพระพุทธองค์ ว่าทำให้พระบิดาได้รับความ
อับอายที่พระพุทธองค์เป็นถึงโอรสกษัตริย์ของเมืองนี้ ยังเดิน
บิณฑบาตขอผู้อื่นเลี้ยงชีพด้วยเท้าเปล่า
พระพุทธองคต์ รัสว่ามิได้ทำ ใหพระบิดาละอาย แต่เป็น
พุทธประเพณี พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตและที่จะมาตรัสรู้
ในอนาคต ต่างก็ดำรงพระชนม์ชีพด้วยอาหารบิณฑบาต
จากนั้นทรงแสดงธรรมแก่พระบิดา ความว่า เป็น
บรรพชิตไม่ควรประมาทในอาหารบิณฑบาต ผู้ประพฤติ
สุจริตธรรม ย่อมประสบสุขทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ปางที่ 33 ปางอุ้มบาตร(พระประจำวันพุธกลางวัน)

ปางอุ้มบาตร(พระประจำวันพุธกลางวัน)
พระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองประคองบาตร
ประวัติย่อ
ในคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ครั้งแรก
หลังจากแสดงธรรมเวสสันดรชาดกแก่พระประยูรญาติแล้ว
ไม่มีใครทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าให้รับภัตตาหารเช้าเลย ด้วย
พากันเข้าใจว่าเมื่อพระองค์เสด็จถึงเรือนพระบิดาแล้วคงจะ
ไม่ไปเสวยที่ไหน ดังนั้น วันรุ่งขึ้นพระพุทธองค์จึงเสด็จไป
บิณฑบาตในพระนครเพื่อรับอาหารจากประชาชนทั่วไป
ดังเช่นพระพุทธเจ้าในอดีตได้กระทำมา

ปางที่ 32 ปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์

ปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
พระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นป้องเสมอพระอุระ
(อก) พระหัตถ์ขวาห้อยลงตามปกติ๑
ประวัติย่อ
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อแสดงธรรม
โปรดพระประยูรญาติครั้งแรก ญาติผู้ใหญ่หลายคนถือตน
คิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นคราวลูกบ้าง คราวหลานบ้าง หรือเป็น
รุ่นน้องบ้าง จึงไม่ยอมถวายบังคมให้ความเคารพ
พระพุทธองค์ประสงค์จะทำให้พระญาติเหล่านั้น
ลดทิฐิมานะลง จึงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์โดยเหาะขึ้นไปบน
อากาศ เนรมิตที่จงกรมแก้ว เสด็จจงกรม ณ ที่นั้น และแสดง
ปาฏิหาริย์อื่นๆ อีกมาก จนพระญาติหมดความกระด้างกระเดื่อง
ฟังพระธรรมเทศนาด้วยความเลื่อมใส

ปางที่ 31 ปางชี้อัครสาวก

ปางชี้อัครสาวก
พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงาย
บนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวายกขึ้นชี้นิ้วตรง
ประวัติย่อ
เมื่อพระพุทธเจ้าประทับ ณ เวฬุวัน เมืองราชคฤห์
ขณะที่พระองค์กำลังแสดงธรรมแก่ประชาชนจำนวนมาก
สองสหายคือโกลิตะและอุปติสสะ (โมคคัลลานะและสารีบุตร)
เดินทางไปเข้าเฝ้า พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นสองสหาย
นั้นมาแต่ไกล ก็ทรงชี้ให้พุทธบริษัททราบว่าทั้งสองจักเป็น
คู่อัครสาวกที่สำคัญ
หลังจากที่สองสหายอุปสมบทแล้ว พระมหา
โมคคัลลานะ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ผู้เลิศด้วยฤทธิ์ และ
พระสารีบุตร เป็นอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา

ปางที่ 30 ปางปลงกรรมฐาน(หรือชักผ้าบังสุกุล)

ปางปลงกรรมฐาน(หรือชักผ้าบังสุกุล)
พระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายถือธารพระกร (ไม้เท้า)
พระหัตถ์ขวายื่นออก เป็นกิริยาชักผ้า
ประวัติย่อ
เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โรงบูชาไฟ
ของอุรุเวลกัสสปะ นางปุณณาทาสีหญิงรับใช้ของเศรษฐี
ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคมได้เสียชีวิต มีคนนำศพไปทิ้ง
ใกล้ที่ประทับ พระพุทธองค์เสด็จไปพิจารณาผ้าที่ห่อศพนั้น
นำมาซักตากให้หายกลิ่นซากศพ แล้วเย็บเป็นจีวรตามอริย-
ประเพณี
ในตำนานพุทธประวัติเล่าถึงพระอินทร์ลงมาช่วยทำ
ตั้งแต่ซัก ตากให้แห้ง จนถึงเย็บเป็นจีวร เสร็จภายในคืนเดียว

ปางที่ 29 ปางภัตตกิจ

ปางภัตตกิจ
พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายประคองบาตร
พระหัตถ์ขวาจุ่มลงในบาตร
ประวัติย่อ
หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดยสกุลบุตร
และบิดาแล้ว ทรงรับนิมนต์ไปเสวยภัตตาหารที่บ้านบิดา
พระยสะ นับเป็นครั้งแรกที่เสด็จไปเสวยภัตตาหารในบ้าน
จากนั้นทรงแสดงอนุปุพพิกถาโปรดมารดาและภรรยาเก่า
ของพระยสะให้ได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นอุบาสิกาคู่แรกใน
พระพุทธศาสนา
อนึ่ง ในขณะเสวยนั้นเรียบร้อยยิ่งนัก เสวยในบาตร
และมีวัตรในบาตร เช่น ไม่วางบาตรใกล้หรือไกลเกินไป และ
ไม่ละเลยในการรักษาบาตร เป็นต้น

ปางที่ 28 ปางเทศนา

ปางเทศนา
พระอิริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นเสมอพระอุระ
(อก) จีบนิ้วพระหัตถ์ทั้งสอง เป็นกิริยาแสดงธรรม
ประวัติย่อ
ครั้งหนึ่งทรงแสดงธรรมแก่ยสกุลบุตร ผู้หนีความ
วุ่นวายในเรือนออกมาพบพระองค์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
พระองค์ทรงชักชวนให้ฟังธรรมกถาว่า ที่นี่ (พระธรรมวินัย)
ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีความเดือดร้อน แล้วทรงแสดงอนุ-
ปุพพิกถา ยสกุลบุตรได้ดวงตาเห็นธรรม ภายหลังได้ประทาน
อุปสมบทเป็นภิกษุและบรรลุพระอรหันต์ในเวลาต่อมา
อนึ่ง ในขณะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมนั้น ทรงมี
สมาธิ มีพระทัยแน่วแน่๑ ตั้งแต่พระดำรัสแรกจนถึงพระดำรัส
สุดท้าย ไม่มีข้อบกพร่องเลย

ปางที่ 27 ปางประทานเอหิภิกขุ

ปางประทานเอหิภิกขุ
พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ขวายกตั้งขึ้น
แบฝ่าพระหัตถ์ งอนิ้วเล็กน้อย พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบน
พระชานุ (เข่า) (บางปางพระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา(ตัก)
ประวัติย่อ
เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์
และโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว พระองค์ได้ประทาน
อุปสมบทให้โดยวิธี เอหิภิกขุ เป็นรูปแรกในพระพุทธศาสนา
เอหิภิกขุเป็นวิธีที่ทรงประทานให้ผู้เลื่อมใสขออุปสมบท
ด้วยพระองค์เอง โดยตรัสว่า “ท่านจงเป็นภิกขุ ปฏิบัติธรรม
ที่เรากล่าวไว้อย่างถูกต้อง เพื่อความพ้นจากทุกข์เถิด”

ปางที่ 26 ปางปฐมเทศนา

ปางปฐมเทศนา
พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ขวาจีบนิ้วเป็น
วงกลม พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา (ตัก) (บางปาง
พระหัตถ์ซ้ายชิดพระหัตถ์ขวาจีบนิ้วหงายฝ่าพระหัตถ์)
ประวัติย่อ
ในวันเพ็ญเดือน ๘ (อาสาฬหปุณณมี) พระพุทธเจ้า
เสด็จไปแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตน-
มฤคทายวัน เมืองพาราณสี ทำให้มีพระสงฆ์องค์แรกเกิดขึ้น
ในโลก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ นับเป็นวันที่พระรัตนตรัย
เกิดขึ้นครบองค์ครั้งแรก คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์
พระธรรมเทศนาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงครั้งแรก
เรียกว่า ปฐมเทศนา หรือธรรมจักกัปปวัตตนสูตร มีเนื้อหา
ให้งดเว้นทางสุดโต่ง ๒ ทาง คือกามสุขัลลิกานุโยค ได้แก่
การทำตนให้หมกมุ่นในกาม และอัตตกิลมถานุโยค ได้แก่การ
ทำตนให้ลำบาก ทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง
ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘๒ อันเป็นข้อปฏิบัติที่ให้ถึงความดับทุกข์
และอริยสัจ ๔๓ ตามลำดับ อนึ่ง วันนี้ชาวพุทธถือเป็น
วันสำคัญ เรียกว่า วันอาสาฬหบูชา

ปางที่ 25 ปางรำพึง(เป็นพระประจำวันศุกร์)

ปางรำพึง(เป็นพระประจำวันศุกร์)
พระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย
วางแนบพระอุระ (อก)
ประวัติย่อ
หลังจากตรัสรู้แล้วไม่นาน ขณะประทับอยู่ใต้ต้นไทร
(อชปาลนิโครธ) พระพุทธองค์ทรงรำพึงว่าพระธรรมที่ได้ตรัสรู้
นั้นละเอียดลึกซึ้ง ยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจและนำไปปฏิบัติ
จึงทรงรู้สึกท้อพระทัยที่จะแสดงธรรมโปรดสัตว์ แต่ด้วย
พระมหากรุณา พระองค์พิจารณาเห็นว่าสรรพสัตว์นั้นมี
อุปนิสัยแตกต่างกันไป เปรียบดังดอกบัวในน้ำ บางดอกอยู่
เหนือน้ำ บางดอกอยู่ปริ่มน้ำ และบางดอกอยู่ในน้ำ จึงทรง
ดำริที่จะแสดงธรรมตามอุปนิสัยแห่งสัตว์นั้นๆ

ปางที่ 24 ปางพระเกศธาตุ

ปางพระเกศธาตุ
พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงาย
บนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาทรงแตะพระเกศา
ประวัติย่อ
หลังจากที่พ่อค้าทั้งสองคน คือ ตปุสสะและภัลลิกะ
ถวายข้าวสัตตุก้อนสัตตุผงแด่พระพุทธเจ้าและได้นับถือ
พระพุทธเจ้าและพระธรรมว่าเป็นที่พึ่งสูงสุดในชีวิตแล้ว ได้ทูล
ขอของที่ระลึกจากพระพุทธองค์เพื่อไว้บูชา พระพุทธเจ้าทรง
ลูบพระเกศา (ผม) ด้วยพระหัตถ์ขวา มีพระเกศา ๔ เส้น
หล่นบนฝ่าพระหัตถ์ จึงประทานพระเกศาทั้ง ๔ เส้นนั้นแก่
พ่อค้าทั้งสอง

ปางที่ 23 ปางรับสัตตุก้อนสัตตุผง

ปางรับสัตตุก้อนสัตตุผง
พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองประคองบาตร
ประวัติย่อ
ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ใต้ต้นเกต (ราชายตน-พฤกษ์) มีพ่อค้า ๒ คน ชื่อ ตปุสสะและภัลลิกะ เดินทาง
ผ่านมาพบพระพุทธองค์ประทับนั่งอยู่ด้วยอาการสงบและ
เอิบอิ่ม จึงได้ถวายอาหารที่เป็นเสบียงเดินทางของตน มีทั้ง
ชนิดก้อนและชนิดผง เรียกว่า “สัตตุก้อนสัตตุผง”
พ่อค้าทั้งสองเลื่อมใสในพระดำรัสและความสง่างาม
ของพระพุทธองค์ ได้ทูลขอเป็นสาวกรับเอาพระพุทธเจ้าและ
พระธรรมเป็นที่พึ่งที่นับถือสูงสุดในชีวิต จึงนับเป็นอุบาสกคู่แรกในโลก

ปางที่ 22 ปางประสานบาตร

ปางประสานบาตร
พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายประคองบาตร
พระหัตถ์ขวาวางบนปากบาตร
ประวัติย่อ
ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ใต้ต้นเกตนั้น ท้าวจตุ-
มหาราชทั้ง ๔ องค์ ทราบว่าพระองค์ทรงประสงค์จะ
อนุเคราะห์แก่พ่อค้า ๒ คนที่จะถวายข้าวสัตตุก้อนสัตตุผง
(ข้าวตูและขนมชนิดก้อนและผงที่เป็นเสบียงเดินทางของ
พ่อค้า) จึงน้อมถวายบาตรศิลาสีเขียว ๔ ใบ พระพุทธองค์
ทรงรับบาตรทั้ง ๔ ใบแล้วทรงอธิษฐานประสานให้เป็น
ใบเดียว เพื่อรักษาศรัทธาของท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔

ปางที่ 21 ปางฉันผลสมอ

ปางฉันผลสมอ
พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวาง
บนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาถือผลสมอ
ประวัติย่อ
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากต้นจิก (มุจจลินท์)
แล้วก็เสด็จสู่ต้นเกต (ราชายตนพฤกษ์) ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของ
ต้นจิก ประทับนั่งสมาธิเสวยวิมุตติสุข (สุขที่เกิดจากความ
หลุดพ้น) ณ โคนต้นเกตเป็นเวลา ๗ วัน เมื่อออกจาก
สมาธิแล้ว พระอินทร์ทรงทราบว่านับแต่พระพุทธองค์ตรัสรู้
มา ๗ สัปดาห์ รวม ๔๙ วัน มิได้เสวยอะไรเลย จึงนำ
ผลสมออันเป็นยาทิพย์มาจากสวรรค์ น้อมถวายแด่
พระพุทธเจ้า พระองค์จึงเสวยผลสมอทิพย์นั้น

ปางที่ 20 ปางนาคปรก(เป็นพระประจำวันเสาร์)

ปางนาคปรก(เป็นพระประจำวันเสาร์)
พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ มีพญานาคขดเป็นวงกลม
และแผ่พังพานอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ (ข้างหลัง)
ประวัติย่อ
หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จออกจากต้นไทรแล้ว
ก็เสด็จไปประทับที่ใต้ต้นจิก (มุจจลินท์) ซึ่งอยู่ทางทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้ของต้นโพธิ์ ในขณะที่พระพุทธองค์ประทับ
อยู่ที่นี่ ฝนเจือลมหนาวตกพรำอยู่ตลอด ๗ วัน ไม่ขาดสาย
พญานาคชื่อมุจจลินท์ ได้ขึ้นมาจากสระในบริเวณนั้น เข้าไป
ขนด ๗ รอบ แล้วแผ่พังพานอยู่เบื้องหลัง ปกป้องมิให้
ลมและฝนถูกต้องพระวรกายของพระพุทธเจ้า

ปางที่ 19 ปางห้ามมาร

ปางห้ามมาร
พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงาย
บนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวายกขึ้นแสดงอาการห้าม
ประวัติย่อ
หลังจากตรัสรู้แล้ว ขณะที่พระพุทธองค์ประทับนั่งอยู่
ใต้ต้นไทรที่พักของคนเลี้ยงแกะ (อชปาลนิโครธ) พญามาร
หลังจากพ่ายแพ้ก็เศร้าโศกเสียใจ นั่งร้องไห้พลางรำพึงว่า
“บัดนี้สิทธัตถะไม่อยู่ในอำนาจของเราแล้ว”
ธิดาของพญามารเข้ามาปลอบ และได้อาสาบิดา
ไปประเล้าประโลมล่อลวงให้พระพุทธเจ้าตกอยู่ในอำนาจ
ด้วยอิตถีมายาต่างๆ แต่ล้มเหลวยิ่งกว่าบิดาเสียอีก เพราะ
พระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงอาการผิดปกติแม้แต่น้อย และไม่ลืม
พระเนตรมองเลย (นอกจากยกพระหัตถ์ขึ้นแสดงอาการห้าม)

ปางที่ 18 ปางเรือนแก้ว

ปางเรือนแก้ว
พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ มีเรือนแก้วครอบพระวรกาย
พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวา
วางคว่ำที่พระชานุ (เข่า)
ประวัติย่อ
หลังจากพระพุทธองค์เสด็จจงกรม ณ ที่จงกรมแก้ว
ต่อมา (นับเป็นสัปดาห์ที่ ๔ จากวันตรัสรู้) เทวดาเนรมิต
เรือนแก้วขึ้นถวายทางทิศพายัพ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ)
ของต้นโพธิ์ จึงเสด็จขึ้นประทับนั่งขัดสมาธิ ณ เรือนแก้วนั้น
ทรงพิจารณาพระอภิธรรมปิฎก ตลอดเวลา ๗ วัน
สถานที่นั้นเรียกว่า รัตนฆรเจดีย์

ปางที่ 17 ปางจงกรมแก้ว

ปางจงกรมแก้ว (ปางนี้จะดูคล้ายๆปางถวายเนตร แต่แตกต่างที่เท้ากับการประสานมือนะครับ)
พระอิริยาบถยืน พระบาทขวาเหยียบพื้น พระบาทซ้าย
ยกส้นขึ้น พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายวางไว้ด้านหน้า
ประวัติย่อ
หลังจากที่พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรต้นโพธิ์แล้ว
ในสัปดาห์ที่ ๓ นับจากวันตรัสรู้ ทรงเนรมิตที่จงกรมแก้วขึ้น
ในระหว่างกลางแห่งต้นโพธิ์กับที่ประทับยืนทอดพระเนตร
แล้วเสด็จจงกรม ณ ที่นั้นเป็นเวลา ๗ วัน สถานที่นั้น
เรียกว่า รัตนจงกรมเจดีย์

ปางที่ 16 ปางถวายเนตร(เป็นพระประจำวันอาทิตย์)

ปางถวายเนตร(เป็นพระประจำวันอาทิตย์)
พระอิริยาบถยืน ลืมพระเนตรเพ่งไปข้างหน้า พระหัตถ์
ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย ห้อยลงข้างหน้า
ประวัติย่อ
หลังจากได้ตรัสรู้ พระพุทธองค์ประทับเสวยวิมุตติสุข
(สุขที่เกิดจากความหลุดพ้น) ณ ใต้ร่มโพธิ์ ๗ วัน จากนั้น
ทรงดำเนินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นโพธิ์ เพ่งมอง
ต้นโพธิ์เป็นเวลา ๗ วัน โดยไม่กระพริบพระเนตรเลย ทั้งนี้
เพื่อระลึกถึงบุญคุณของต้นโพธิ์ ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา
อันร่มรื่น เกื้อกูลแก่การบำเพ็ญเพียรทางใจจนได้ตรัสรู้
สถานที่นั้นเรียกว่า อนิมิสเจดีย์